วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อักษรควบ

      อักษรควบ  หมายถึงพยัญชนะสองตัวเรียงกันออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวนั้น ในการผันก็เป็นไปตาม หลักเกณฑ์ดังที่กล่าวมาแล้วด้วยเช่นกัน

       อักษรควบมี 2 ประเภท คือ อักษรควบแท้และอักษรควบไม่แท้

     1. อักษรควบแท้    คือพยัญชนะ  2  ตัว ที่มี   ตัว ร ล ว  ประสมอยู่ด้วย    ประสมด้วย
สระเดียวกัน อ่านออกเสียง พร้อมกันทั้ง 2 ตัว เช่น กลาง  ครัว กวาง

    2. อักษรควบไม่แท้   ได้แก่   พยัญชนะที่มีตัว  ร   ควบอยู่ด้วย   แต่ไม่ออกเสียงตัว ร
หรือมิฉะนั้นก็ออกเสียงเป็น เสียงอื่นไป  
         ตัวอย่าง  อักษรควบไม่แท้ที่ออกเสียงแต่พยัญชนะตัวแรก เช่น  
              จริง ไซร้   สร้าง   ศรี  เศรษฐี

         ตัวอย่าง  อักษรควบไม่แท้ ทร ออกเสียงเป็น ซ  
             ไทร  ทราย   อินทรีย์   ทรัพย์   มัทรี ฯ


         ตัวอย่าง  การผันอักษรควบไม่แท้
             สามัญ          เอก          โท          ตรี          จัตวา
              จริง            จริ่ง         จริ้ง         จริ๊ง          จริ๋ง
               –               สร่าง        สร้าง         –           สราง
              ไซร             –          ไซร่          ไซร้           –

วิดีโอ เรื่องอักษรควบ



การผันอักษร

            การผันอักษร คือ การออกเสียงพยางค์ที่ประสมด้วยพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์  ซึ่ง
เสียงวรรณยุกต์จะเปลี่ยนไป เช่น  กา   ก่า   ก้า   ก๊า   ก๋า

      ก่อนผันอักษรต้องเข้าใจเรื่องความหมายของคำต่อไปนี้ก่อน คือ

1. คำเป็น คำตาย
       คำเป็น หมายถึง
          1. พยางค์ที่มีเสียงสระยาวในแม่ ก กา เช่น มา รู โต
          2. พยางค์ที่มีพยัญชนะตัวสะกด แม่ กง กน กม เกย เกอว เช่น นาง กิน ปม นาย หิว        
          ข้อสังเกต เสียงสระของคำเป็นใน ข้อ 2 มีทั้งสระเสียงสั้นและเสียงยาว
       คำตาย หมายถึง
          1. พยางค์ที่มีเสียงสระสั้นในแม่ ก กา เช่น ปะ ติ ฉุ
          2. พยางค์ที่มีพยัญชนะตัวสะกด แม่ กก กด กบ เช่น นก มัด รับ
          ข้อสังเกต เสียงสระของคำตายใน ข้อ 2 มีทั้งสระเสียงสั้นและเสียงยาว


2. พื้นเสียง 
          หมายถึงพยางค์ที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ ต่อไปนี้จะเป็นการผันอักษรทีละหมู่
   อักษรกลาง
     พยัญชนะที่เรียกว่าอักษรกลางทั้ง 9 ตัว (ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ ) เมื่อนำมาประสมกับ
สระเดียวกัน และใช้วรรณยุกต์ รูปเดียวกันจะออกเสียงวรรณยุกต์ได้ตรงกัน เช่น
                    ก่า   จ่า   ด่า   ต่า   บ่า   ป่า   อ่า

       อักษรกลางคำเป็น
          พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ    เช่น กา   ดง   จน  ปม   เตย   กลอง
              ผันด้วย  ไม้เอก   เป็นเสียงเอก เช่น ก่า  ด่ง   จ่น  ป่ม   เต่ย  กล่อง
              ผันด้วย  ไม้โท    เป็นเสียงโท  เช่น  ก้า  ด้ง   จ้น  ป้ม  เต้ย   กล้อง
              ผันด้วย ไม้ตรี     เป็นเสียงตรี เช่น    ก๊า  ด๊ง   จ๊น  ป๊ม  เต๊ย   กล๊อง
              ผันด้วย ไม้จัตวา เป็นเสียงจัตวา เช่น ก๋า  ด๋ง   จ๋น  ป๋ม  เต๋ย   กล๋อง

      จะเห็นว่าอักษรกลางคำเป็น ผันได้ครบ 5 เสียง และเสียงกับรูปวรรณยุกต์ตรงกัน

      อักษรกลางคำตาย
          พื้นเสียงเป็นเสียงเอก     เช่น                 ปะ   กาก   จด  โบก
             ผันด้วย ไม้โท   เป็นเสียงโท เช่น        ป้ะ  ก้าก   จ้ด  โบ้ก
             ผันด้วย ไม้ตรี เป็นเสียงตรี เช่น          ป๊ะ   ก๊าก   จ๊ด  โบ๊ก
             ผันด้วยไม้จัตวา เป็นเสียงจัตวาเช่น    ป๋ะ  ก๋าก    จ๋ด  โบ๋ก
        ( คำที่ยกตัวอย่าง เพียงเพื่อให้เห็นวิธีผัน อาจไม่มีที่ใช้เป็นปรกติในภาษาก็ได้)

      อักษรต่ำ
                พยัญชนะที่เรียกว่าอักษรต่ำทั้ง 24 ตัว (ค ค(ค.คน) ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ
ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ ) ถ้านำมาประสมกับสระเดียวกัน และใช้วรรณยุกต์รูปเดียวกัน
จะออกเสียงวรรณยุกต์ ได้ตรงกันทั้งหมู่ต่างกันแต่เสียงพยัญชนะต้นของพยางค์เท่านั้น  เช่น  
คัง    งัง   ชั่ง   นั่ง   ค้อน   ช้อน   ฟ้อน

              ต่อไปนี้จะผันอักษรต่ำ

      อักษรต่ำคำเป็น
             พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ      เช่น    คา  ซน  โคน   วาว เชย             ผันด้วยไม้เอก เป็นเสียงโท     เช่น    ค่า  ซ่น  โค่น  ว่าว  เช่ย             จะเห็นว่า อักษรต่ำคำเป็น ผันได้เพียง 3 เสียง คือ สามัญ โท ตรี

      อักษรต่ำคำตาย
         สระเสียงสั้น
             พื้นเสียงเป็นเสียงตรี      เช่น       คะ  นัด   รัก             ผันด้วย ไม้เอก   เป็นเสียงโท เช่น    ค่ะ  นัด รั่ก

          สระเสียงยาว             พื้นเสียงเป็นเสียงโท      เช่น     มาก    เชิต    โนต
             ผันด้วยไม้โท เป็นเสียงตรี เช่น     ม้าก    เชิ้ต    โน้ต
             จะเห็นว่า อักษรต่ำคำตาย สระเสียงสั้น ผันได้เพียง 2 เสียง คือ  โท  และตรี
(การผันคำตายด้วย ไม้จัตวามีผู้ใช้เป็น ครั้งคราว  แต่ออกเสียงไม่สะดวกเหมือน
เสียงจัตวาของคำเป็น)

   อักษรสูง
         พยัญชนะที่เรียกว่าอักษรสูง ทั้ง 11 ตัว (ข ข (ข.ขวด) ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ษ ห)
ถ้านำมาประสมกับ สระเดียวกัน และใช้วรรณยุกต์รูปเดียวกัน  จะออกเสียงวรรณยุกต์
ได้ตรงกันทั้งหมู่ ต่างกันแต่พยัญชนะต้นของพยางค์ เท่านั้น   เช่น    
                                    ข่า    ฉ่า    ส่า     ข้า    ฉ้า    ส้า

              ต่อไปนี้จะผันอักษรสูง  

      อักษรสูงคำเป็น
             พื้นเสียงเป็นเสียงจัตวา    เช่น    ขา  ผง   เขย   สาว             ผันด้วยไม้เอก เป็นเสียงเอก เช่น    ข่า  ผ่ง  เข่ย  ส่าว             ผันด้วยไม้โท เป็นเสียงโท เช่น       ข้า ผ้ง   เข้ย   ส้าว

      อักษรสูงคำตาย
             พื้นเสียงเป็นเสียงเอก    เช่น      สะ ผลิ  ฝาก ขูด             ผันด้วยไม้โท เป็นเสียงโท แต่คำที่ผันได้ไม่มีที่ใช้หรือไม่มีความหมายจึงมิได้แสดงไว้

วิดีโอ เรื่องการผักอักษร



การผันวรรณยุกต์

          ความผิดพลาด ในการผันวรรณยุกต์ที่พบมากในปัจจุบันก็คือ ออกเสียงวรรณยุกต์ ตามรูปวรรณยุกต์ที่ปรากฏ ซึ่งนับว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก คำในภาษาไทยนั้นอาจจะมีรูปและเสียงวรรณยุกต์ตรงกันหรือไม่ตรงกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับพยัญชนะต้นว่าเป็นอักษรสูง อักษรกลาง หรืออักษรต่ำ และเป็น คำเป็นหรือคำตาย นักเรียนควรทบทวนเรื่องเหล่านี้ให้เข้าใจก่อนที่จะศึกษาหลักการผันเสียงวรรณยุกต์

หลักการผันเสียงวรรณยุกต์ 

คำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลาง ผันเสียงวรรณยุกต์ได้ดังนี้
        1. คำเป็น ผันวรรณยุกต์ได้ครบ 4 รูป 5 เสียง รูปและเสียงวรรณยุกต์ตรงกัน เช่น อา อ่า อ้า อ๊า อ๋า พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ ผันด้วยไม้เอก เป็นเสียงเอก ผันด้วยไม้โทเป็นเสียงโท ผันด้วยไม้ตรีเป็นเสียงตรี และผันด้วยไม้จัตวาเป็นเสียงจัตวา
        2. คำตาย ผันวรรณยุกต์ได้ 3 รูป 4 เสียง เริ่มด้วยเสียงเอก เช่น อะ อ้ะ อ๊ะ อ๋ะ คำ อะเสียงเอกไม่มีรูปวรรณยุกต์

คำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูง ผันเสียงวรรณยุกต์ได้ดังนี้
        1. คำเป็น ผันวรรณยุกต์ได้ 2 รูป 3 เสียง ขัน ขั่น ขั้น พื้นเสียงเป็นเสียงจัตวา ผันด้วยไม้เอก เป็นเสียงเอก ผันด้วยไม้โทเป็นเสียงโท
        2. คำตาย ผันวรรณยุกต์ได้ 1 รูป 2 เสียง ขะ ข้ะ พื้นเสียงเป็นเสียงเอก ผันด้วยไม้โท เป็นเสียงโท

คำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ ผันเสียงวรรณยุกต์ได้ดังนี้
        1. คำเป็น ผันวรรณยุกต์ได้ 2 รูป 3 เสียง คาน ค่าน ค้าน พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ ผันด้วยไม้เอก เป็นเสียงโท ผันด้วยไม้โทเป็นเสียงตรี
        2. คำตาย สระเสียงยาว ผันได้ 2 รูป 3 เสียง คาด ค้าด ค๋าด พื้นเสียงเป็นเสียงโท ผันด้วยไม้โทเป็นเสียงตรี ผันด้วยไม้จัตวา เป็นเสียงจัตวา
        3. คำตาย สระเสียงสั้น ผันได้ 2 รูป 3 เสียง คะ ค่ะ ค๋ะ พื้นเสียงเป็นเสียงตรี ผันด้วยไม้เอกเป็นเสียงโท ผันด้วยไม้จัตวาเป็นเสียงจัตวา
        4. อักษรคู่ ถ้าผันเสียงคู่กับอักษรสูงจะสามารถผันได้ครบ 5 เสียง เช่น คา ข่า ค่า-ข้า ค้า ขา
        5. อักษรเดี่ยว เมื่อมี หรืออักษรสูง หรืออักษรกลางมานำจะผันเสียงได้ตามอักษรที่นำ เช่น หนา หน่า หน้า หรือคำว่า ตลาดจะอ่านว่า ตะ-หลาดไม่ใช่ ตะ-ลาดเป็นต้น

โปรดสังเกตตาราง การผันวรรณยุกต์ ต่อไปนี้


จากตารางการผันวรรณยุกต์ จะพบว่า
        1. คำที่มี พยัญชนะต้น เป็นอักษรกลางและเป็นคำเป็น จะผันเสียงวรรณยุกต์ได้ครบทุกเสียง และรูปวรรณยุกต์กับเสียงวรรณยุกต์ตรงกันมากที่สุด
        2. คำที่มีเสียงวรรณยุกต์สามัญ มีเพียงคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลางและอักษรต่ำคำเป็นเท่านั้น
        3. คำที่มีพื้นเสียงเป็นเสียงจัตวานั้น มีเฉพาะคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูง และ ห นำ อักษรเดี่ยว หรืออักษรสูงนำอักษรเดี่ยวคำเป็นเท่านั้น
        4. คำที่มีรูปและเสียงวรรณยุกต์ไม่ตรงกันเลย ได้แก่คำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ คำตายเท่านั้น
        5. คำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำคำตาย ระหว่างสระเสียงสั้นกับสระเสียง ยาว จะผันเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน ยกเว้นเสียงจัตวา
        6. คำที่ผันเสียงวรรณยุกต์ได้น้อยที่สุด คือ คำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูงหรือ ห นำอักษรเดี่ยว หรืออักษรสูงนำอักษรเดี่ยว คำตาย

            นักเรียนสามารถนำตารางนี้ไปใช้ในการเทียบเสียงวรรณยุกต์ได้ โดยวิเคราะห์คำที่ต้องการทราบเสียงวรรณยุกต์ว่ามีพยัญชนะต้นเป็นอักษรชนิดใด คำนั้นเป็นคำเป็นหรือคำตาย ใช้สระเสียงสั้นหรือเสียงยาว และมีรูปวรรณยุกต์อะไร ต่อจากนั้นนำไปเทียบกับคำในตาราง ก็จะทราบได้ว่าคำนั้น มีเสียงวรรณยุกต์ใด ซึ่งหากนักเรียนฝึกเทียบเสียงคำบ่อย ๆ จะเกิดความชำนาญและสามารถวิเคราะห์ได้โดยไม่ต้องใช้ตาราง

            การเทียบเสียงวรรณยุกต์ของคำ อาจใช้วิธีเทียบกับอักษรกลาง หรือใช้เสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียง ก็ได้ เช่นนักเรียนต้องการทราบว่า ร้องมีเสียงวรรณยุกต์ใด ก็เทียบกับคำเสียง ได้แก่ ออง อ่อง อ้อง อ๊อง อ๋อง จะพบว่า ร้องเสียงเท่ากับ อ๊องซึ่งเป็นเสียงตรี (อักษรกลาง คำเป็นผันด้วยไม้ตรี เป็นเสียงตรี) จึงบอกได้ว่า ร้องมีเสียงวรรณยุกต์ตรี เป็นต้น

            แต่ข้อสำคัญ ผู้เรียนต้องออกเสียงคำคำนั้นอย่างถูกต้องด้วยจึงจะวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้ได้ มิฉะนั้น ผู้เรียนก็จะต้องกลับไปทบทวนตารางผันวรรณยุกต์ให้เข้าใจ ว่าคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูง กลาง หรือต่ำ และเป็นคำเป็น หรือคำตายนั้น มีพื้นเสียงเป็น เสียงอะไร ผันด้วยวรรณยุกต์อะไร เป็นเสียงอะไร ซึ่งผู้เรียนต้องใช้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอักษรไตรยางศ์และเรื่องคำเป็น คำตายเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์


วิดีโอ เรื่องการผันวรรณยุกต์



เครื่องหมายวรรคตอน

     เครื่องหมายวรรคตอน คือ เครื่องหมายที่ใช้เขียนกำกับคำ  กลุ่มคำ  ประโยค หรือข้อความให้เด่นชัดเพื่อให้อ่านได้ถูกต้อง และช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายได้ชัดเจนขึ้น
             เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาไทย มีดังนี้
           
  1. มหัพภาค  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน มีรูปดังนี้  .  มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
            1. ใช้เพื่อแสดงว่าจบประโยคหรือจบความ  เช่น
                             กรี  น.  กระดูกแหลมที่หัวกุ้ง.
            2. ใช้เขียนไว้หลังตัวอักษร เพื่อแสดงว่าเป็นอักษรย่อ  เช่น
                             ม.ค.  คำเต็มว่า  มกราคม
            3. ใช้เขียนไว้ข้างหลังตัวอักษรหรือตัวเลขที่บอกลำดับข้อ  เช่น
                             1.  ก.             หรือ     1. 1.
                                  ข.                             2.
            ในกรณีที่มีหัวข้อย่อย ให้ใส่ลำดับข้อย่อยไว้หลังจุด  เช่น
                             1.1           อ่านว่า   หนึ่งจุดหนึ่ง
                             1.10         อ่านว่า   หนึ่งจุดสิบ
                             4.1.12      อ่านว่า   สี่จุดหนึ่งจุดสิบสอง
            4. ใช้คั่นระหว่างชั่วโมงกับนาทีเพื่อบอกเวลา  เช่น
                             9.30 น.   อ่านว่า   เก้านาฬิกาสามสิบนาที
            5. ใช้เป็นจุดทศนิยม แล้วจุดทศนิยมให้อ่านตัวเลขเรียงกันไป  เช่น
                             2.345   อ่านว่า   สองจุดสามสี่ห้า
                             10.75 วินาที   อ่านว่า   สิบจุดเจ็ดห้าวินาที
                             4.567 เมตร    อ่านว่า   สี่จุดห้าหกเจ็ดเมตร
               ยกเว้น  ในกรณีเงินตรา ถ้าอ่านเป็นหน่วยเงินตราได้ ให้อ่านตามหน่วยเงินตรานั้น  เช่น
                           10.50 บาท       อ่านว่า    สิบบาทห้าสิบสตางค์
                           7.75 ดอลลาร์    อ่านว่า    เจ็ดดอลลาร์เจ็ดสิบห้าเซนต์

2. จุลภาค  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้  ,  มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
            1. ใช้คั่นจำนวนเลขนับจากหลักหน่วยไปทีละ 3 หลัก  เช่น
                              1,500             อ่านว่า   หนึ่งพันห้าร้อย
                              2,350,000     อ่านว่า   สองล้านสามแสนห้าหมื่น
            2. ใช้แยกวลีหรืออนุประโยคเพื่อกันความเข้าใจสับสน  เช่น
                              นายเทิดศักดิ์ที่นั่งคู่กับนางยุพดี, เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน
            3. ใช้คั่นคำในรายการที่เขียนต่อ ๆ กัน ตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป โดยเขียนคั่นแต่ละรายการ  ส่วนหน้าคำ  "และ"  หรือ  "หรือ"  ที่อยู่หน้ารายการสุดท้ายไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องหมายจุลภาค  เช่น
                              พระรัตนตรัย คือ แก้ว 3 ประการ หมายถึง พระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์
            4. ใช้ในการเขียนบรรณานุกรม  ดรรชนี  และนามานุกรม  เช่น
                              คึกฤทธิ์  ปราโมช, ม.ร.ว.
            5. ใช้ในหนังสือประเภทพจนานุกรมเพื่อคั่นความหมายของคำที่มีความหมายหลาย ๆ อย่าง  เช่น   บรรเทา  ก.  ทุเลหรือทำให้ทุเลา, ผ่อนคลายหรือทำให้ผ่อนคลายลง                             

3. วงเล็บ  หรือ  นขลิขิต  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน  รูปดังนี้  ( )  มีหลักเกณฑ์การใช้ดังต่อไปนี้
            1. ใช้กันข้อความที่ขยายหรืออธิบายไว้เป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เข้าใจข้อความนั้นได้แจ่มแจ้งขึ้น  เช่น     มนุษย์ได้สร้างโลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ)  และโมหะ (ความหลงผิดให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง
            2. ใช้กันข้อความที่บอกที่มาของคำหรือข้อความ  เช่น
                            ชลี (กลอน) ก. อัญชลี, ไหว้
            3. ใช้กับหัวข้อที่เป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ซึ่งอาจจะใช้เพียงเครื่องหมายวงเล็บปิดก็ได้  เช่น
                            (ก)   หรือ   ก)             (ข)   หรือ   1)
            4. ใช้กับนามเต็มที่เขียนใต้ลายมือชื่อ  เช่น
                               วัชรพงศ์  โกมุทธรรมวิบูลย์
                        (นายโกมุท  โกมุทธรรมวิบูลย์)

          การอ่านออกเสียงข้อความที่มีเครื่องหมายวงเล็บ มีวิธีการอ่านหลายวิธี สุดแท้แต่กาลเทศะ โอกาสหรือจุดประสงค์ของการสื่อสาร  เช่น  ถ้าจะอ่านเพื่อให้ผู้ฟังจดจำไว้ให้ถูกต้อง ถ้าเป็นข้อความสั้น ๆ ควรอ่านว่า  "วงเล็บ"  ตัวอย่าง
          พระยาศรีสุนทรโวหาร (ภู่)  อ่านว่า  พระยาศรีสุนทรโวหารวงเล็บภู่  หรือ พระยาศรีสุนทรโวหารภู่  ก็ได้
          พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร)  อ่านว่า  พระยาศรีสุนทรโวหาร วงเล็บน้อยอาจาริยางกูร
          ถ้าข้อความนั้นยาวมาก ให้อ่านว่า  "วงเล็บเปิด" แล้วอ่านข้อความในวงเล็บจนจบ แล้วอ่านว่า "วงเล็บปิด" หรืออาจเสริมข้อความว่า "ต่อไปนี้เป็นข้อความในวงเล็บ" เมื่ออ่านหมดข้อความก็อ่านว่า "หมดข้อความในวงเล็บ" ก็ได้
            
 4. ยัติภังค์ ชื่อ เครื่องหมายหมายวรรคตอน รูปดังนี้  -  อาจใช้ได้หลายขนาด แต่ไม่ควรเกิน 2 ช่องตัวอักษร
มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
            1. ใช้เขียนไว้ที่สุดบรรทัดเพื่อต่อพยางค์หรือคำสมาส ซึ่งจำเป็นต้องเขียนแยกบรรทัดกัน เนื่องจากมาอยู่ตรงสุดบรรทัด และไม่มีที่พอจะบรรจุคำเต็มได้ เช่น                                                                                                      ตำแหน่งประ- ธานสภาผู้แทนราษฎร
                                                                                                                                                                                                                                                     นายกราช-
 บัณฑิตยสถาน

            2. ใช้เขียนไว้ท้ายวรรคหน้าในบทร้อยกรอง เพื่อต่อพยางค์หรือคำสมาส ที่จำเป็นต้องเขียนคาบบรรทัดกัน เพื่อให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ เช่น
                                        คนเด็ดดับสูญสัง-             ขารร่าง
            3. ใช้แยกพยางค์เพื่อบอกคำอ่าน โดยเขียนไว้ระหว่างพยางค์แต่ละพยางค์ เช่น
                              เสมา      อ่านว่า     เส-มา
            4. ใช้ในความหมายว่า "และ" หรือ "กับ"  เช่น
                             เชิญชมการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่างทีม นครสวรรค์ - พิจิตร (กับ)
                             ภาษาตระกูลไทย - จีน  (และ)
            5. ใช้ในความหมายว่า "ถึง" เพื่อแสดงช่วงเวลา จำนวน สถานที่ (เวลาเขียนหรือพิมพ์ให้เว้นหน้าและหลังเครื่องหมาย - ประมาณ 1 ช่วงตัวอักษร) เช่น
                              เวลา 9.00 - 10.30 น.   อ่านว่า   เวลาเก้านาฬิกาถึงสิบนาฬิกาสามสิบนาที
                              มีผู้ชมประมาณ 10- 20 คน   อ่านว่า   มีผู้ชมประมาณสิบถึงยี่สิบคน
                              ระยะทาง นครนายก - จันทบุรี   อ่านว่า   ระยะทางนครนายกถึงจันทบุรี
            6. ใช้เขียนแสดงลำดับย่อยของรายการที่ไม่ต้องใส่ตัวอักษร หรือตัวเลขนอกลำดับงาน มีรายการคร่าว ๆ ดังนี้
                              - พิธีเปิดงาน                      - รำอวยพร
                              - ดนตรีบรรเลง                  - ปิดงาน

5. อัญประกาศ  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้  "  "  มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
            1. ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้น เป็นคำพูดหรือความนึกคิด เช่น  ครูพูดกับนักเรียนว่า " ขอให้ทุกคนตั้งใจจริง แล้วจะประสบความสำเร็จ "
            2. ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้นคัดมาจากที่อื่น เช่น
                          สุนทรภู่เขียนเตือนใจเรื่องความมีไมตรีต่อกันไว้ในเรื่องพระอภัยมณีตอนหนึ่งว่า
" ปรารถนาสารพัดในปัถพี  เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง "
            3. ใช้เพื่อเน้นคำหรือข้อความนั้นให้เด่นชัดขึ้น  เช่น
                         คำว่า "ตะโก้" พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง " ชื่อขนมชนิดหนึ่งทำด้วยแป้งข้าวเจ้ากวนเข้ากับน้ำตาล ใส่แห้วหรือข้าวโพดเป็นต้นก็ได้ หยอดหน้าด้วยกะทิกวนกับแป้ง "
                   ในการอ่านออกเสียง เมื่อมีเครื่องหมายอัญประกาศเปิดให้อ่านว่า "อัญประกาศเปิด"  และเมื่อถึงเครื่องหมายอัญประกาศปิดให้อ่านว่า "อัญประกาศปิด"
                   ถ้าข้อความในเครื่องหมายอัญประกาศมีความยาวหลายย่อหน้าและใส่เครื่องหมายอัญประกาศเปิด ไว้หน้าย่อหน้าทุกย่อหน้าดังตัวอย่าง ให้อ่าน  "อัญประกาศเปิด"  เฉพาะเมื่อเริ่มข้อความเท่านั้น และอ่าน  "อัญประกาศปิด" เมื่อจบข้อความ

6. ปรัศนี  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้  ?  มีหลักเกณฑ์การใช้ดังต่อไปนี้
            1. ใช้เมื่อสิ้นสุดความหรือประโยคที่เป็นคำถาม เช่น
                             ทำไมเธอถึงมาโรงเรียนสาย?
            2. ใช้หลังข้อความเพื่อแสดงความสงสัยหรือไม่แน่ใจ มักเขียนอยู่ในวงเล็บ เช่น
                             กฤษฎาธาร (กริดสะดาทาน) น. พระทีนั่งที่ทำขึ้นสำหรับเกียรติยศ (?)

7. อัศเจรีย์  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้  !  มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
            1. ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยคที่เป็นคำอุทาน  เช่น
                              อื้อฮือ ! มากจังเลย
            2. ใช้เขียนหลังคำเลียนเสียงธรรมชาติ เพื่อให้ผู้อ่านทำเสียงได้เหมาะสมกับเหตุการณ์ในเรื่องนั้น ๆ  เช่น    โครม !

8. ไม้ยมก หรือ ยมก  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้  ๆ  มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
                    ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้อ่านซ้ำคำ วลี หรือประโยค อีกครั้งหนึ่ง   ตัวอย่าง
            1. เด็กเล็ก ๆ        อ่านว่า    เด็กเล็กเล็ก
            2. ในวันหนึ่ง ๆ    อ่านว่า   ในวันหนึ่งวันหนึ่ง
            3. แต่ละวัน ๆ       อ่านว่า   แต่ละวันแต่ละวัน

          หมายเหตุ 
        1. คำที่เป็นคำซ้ำ ต้องใช้ไม้ยมก หรือยมก (ๆ) เสมอเช่น       สีดำๆ     เด็กตัวเล็ก ๆ
        2.  ห้ามใช้ไม้ยมก หรือยมก (ๆ) ในกรณีดังต่อไปนี้
            2.1 เมื่อเป็นคำคนละบท คนละความ เช่น
                     "ฉันจะไปปทุมวัน ๆ นี้" ผิด  ต้องเขียนเป็น  "ฉันจะไปปทุมวันวันนี้"
            2.2 เมื่อรู้คำเดิมเป็นคำ 2 พยางค์ ที่มีเสียงซ้ำกัน เช่น
                     นานา  เช่น  นานาชาติ   นานาประการ
          2.3 เมื่อเป็นคำคนละชนิดกัน  เช่น
                     คนคนนี้มีวินัย (คน คำแรกเป็นคำสามานยนาม  คน คำหลังเป็นลักษณนาม)
            2.4 เมื่อเป็นคำประพันธ์  เช่น
                     หวั่นหวั่นจิตคิดคิดครวญครวญหา
                     คอยคอยหายหลายหลายนัดผัดผัดมา

9. ไปยาลน้อย หรือ เปยยาลน้อย  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้  ฯ  มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
            1. ใช้ละคำที่รู้กันดีแล้วโดยละส่วนท้ายไว้เหลือแต่ส่วนหน้าของคำพอเป็นที่เข้าใจ  เช่น
                         กรุงเทพฯ   คำเต็มคือ   กรุงเทพมหานคร
            2. ใช้ละส่วนท้ายของวิสามานยนาม ซึ่งได้กล่าวมาก่อนแล้ว เช่น
                         มหามกุฎราชวิทยาลัย   เขียนเป็น   มหามกุฎฯ

           หมายเหตุ
           ก. สำหรับคำที่เป็นแบบแผน (ดังปรากฏในข้อ 1) ในเวลาอ่านจะต้องอ่านเต็มจึงจะนับว่าอ่านถูกต้อง
         ข. ถ้าไม่ใช่คำที่เป็นแบบแผน (ดังปรากฏในข้อ 2) จะอ่านเต็มหรือไม่ก็ได้
            3. คำว่า " ฯพณฯ "  อ่านว่า  "พะนะท่าน "  ใช้เป็นคำหน้าชื่อ หรือตำแหน่งข้าราชการผู้ใหญ่ ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีขึ้นไปและเอกอัครราชทูต เป็นต้น
                       เช่น  ฯพณฯ พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี
                               ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

10. ไปยาลใหญ่ หรือ เปยยาลใหญ่ ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้  ฯลฯ  มีหลักเกณฑ์การใช้ดังต่อไปนี้
            1. ใช้สำหรับละข้อความข้างท้ายที่อยู่ในประเภทเดียวกันซึ่งยังมีอีกมาก แต่ไม่ได้นำมาแสดงไว้  เช่น   สิ่งของที่ซื้อขายกันในตลาดมี เนื้อสัตว์ ผัก น้ำตาล น้ำปลา ฯลฯ การอ่านเครื่องหมายไปยาลใหญ่หรือเปยยาลใหญ่ที่อยู่ข้างท้ายข้อความให้อ่านว่า "ละ"  หรือ "และอื่น"
            2. โบราณใช้ละคำหรือข้อความที่อยู่ตรงกลางก็ได้ โดยบอกตอนต้นและตอนจบไว้ เช่น
                        พยัญชนะไทย 44 ตัว มี ก ฯลฯ ฮ การอ่านเครื่องหมายไปยาลใหญ่ ที่อยู่ตรงกลางข้อความ อ่านว่า "ละถึง"

11. ไข่ปลาหรือจุดไข่ปลา ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้  ...  มีหลักเกณฑ์การใช้ดังต่อไปนี้
            1. ใช้สำหรับละข้อความที่ไม่จำเป็นหรือไม่ต้องการกล่าวเพื่อจะชี้ว่า ข้อความที่นำมากล่าวนั้นตัดตอนมาเพียงบางส่วน ใช้ได้ทั้งตอนขึ้นต้น ตอนกลาง และตอนท้ายข้อความ โดยใช้ละด้วยจุดอย่างน้อย 3 จุด เช่น
                       " ...ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือ เป็นทางสำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งสวยงามอย่างหนึ่ง เช่นในทางวรรณคดี เป็นต้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเองซึ่งต้องหวงแหน ... เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ..."  พระราชดำรัส ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2505 "
            2. ในบทร้อยกรอง ถ้าละข้อความตั้งแต่1 บรรทัดขึ้นไป ให้ใช้เครื่องหมายไข่ปลา หรือ จุดไข่ปลา ยาวตลอดบรรทัด  เช่น
                                 เรื่อยเรื่อยมารอนรอน               ทิพากรจะตกต่ำ
                              สนธยาจะใกล้ค่ำ                         คำนึงหน้าเจ้าตราตรู
                              ..............................................................................
                                 ปักษีมีหลายพรรณ                   บ้างชมกันขันเพรียกไพร
                              ยิ่งฟังวังเวงใจ                            ล้วนหลายหลากมากภาษา
               ในการอ่านออกเสียง เมื่อมีเครื่องหมายไข่ปลา หรือ จุดไข่ปลา ตามตัวอย่างข้างต้นควรหยุดเล็กน้อยก่อน แล้วจึงอ่านว่า "ละ ละ ละ" แล้วหยุดเล็กน้อยก่อนอ่านข้อความต่อไป

12. สัญประกาศ  ชื่อเครื่องหมายวรรคตอนรูปดังนี้   ___   มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
            คือ ใช้ขีดไว้ใต้คำหรือข้อความที่สำคัญ เพื่อเน้นให้ผู้อ่านสังเกตเป็นพิเศษ  เช่น
                       หลักการอ่านตัวเลขมีตีพิมพ์รวมอยู่ในหนังสืออ่านอย่างไร-เขียนอย่างไร

13. บุพสัญญา ชื่อเครื่องหมายวรรคตอนรูปดังนี้   "   มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
            คือ ใช้แทนคำหรือข้อความที่อยู่บรรทัดบนเพื่อไม่ต้องเขียนซ้ำอีก แต่เวลาอ่านต้องอ่านซ้ำคำหรือข้อความข้างบนนั้นด้วย
                        ถ้าเป็นคำคำเดียวหรือเป็นข้อความไม่ยาวนัก ให้ใส่เครื่องหมาย 1 ตัวแต่ถ้าเป็นข้อความยาว จะใส่เครื่องหมายเกิน 1 ตัวก็ได้  เช่น
                             ขันน้ำพลาสติก จำนวน 3 ใบ ใช้ตักน้ำอาบและดื่มเวลาเช้า
                                "      อลูมิเนียม    "   4 ใบ     "                "            เย็น

14. ทับ ชื่อเครื่องหมายวรรคตอนรูปดังนี้   /  อ่าน "ทับ" เวลาเขียนไม่ต้องเว้นวรรคหน้าและหลังเครื่องหมาย
มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
            1. ใช้ขีดหลังจำนวนเลข เพื่อแบ่งจำนวนย่อยออกจากจำนวนใหม่  ส่วนมากเป็นบ้านเลขที่ และหนังสือราชการ สำหรับการอ่านบ้านเลขที่ มีหลักการอ่านดังนี้
                         บ้านเลขที่ที่มีเครื่องหมายทับ "/" และบ้านเลขที่ที่ไม่มีเครื่องหมายทับ "/" มีหลักการอ่านเหมือนกันคือ บ้านเลขที่ซึ่งมีตัวเลข 2 หลัก ให้อ่านแบบจำนวนเต็ม ถ้ามีตัวเลข 3 หลักขึ้นไป ให้อ่านแบบเรียงตัวเลขหรือแบบจำนวนเต็มก็ได้ ตัวเลขหลังเครื่องหมายทับ "/" ให้อ่านเรียงตัว  เช่น
                บ้านเลขที่ 10 อ่านว่า บ้าน - เลก - ที่ สิบ
                บ้านเลขที่ 414   อ่านว่า บ้าน - เลก - ที่ สี่ - หนึ่ง - สี่  หรือ  บ้าน - เลก - ที่สี่ - ร้อย -สิบ - สี่
                บ้านเลขที่ 56/342 อ่านว่า บ้าน - เลก - ที่ ห้า - สิบ - หก ทับ สาม - สี่ - สอง
                บ้านเลขที่ 657/21 อ่านว่า  บ้าน - เลก - ที่ หก - ห้า - เจ็ด ทับ สอง - หนึ่ง  หรือ
                บ้าน - เลก - ที่ หก - ร้อย - ห้า - สิบ - เจ็ด ทับ สอง - หนึ่ง
                   กลุ่มตัวเลขที่เลข 0 นำหน้า อ่านเรียงตัวเสมอ  เช่น
                บ้านเลขที่ 1864/1108
                อ่านว่า บ้าน -เลก -ที่ สูน - แปด - หก - สี่ ทับ หนึ่ง - หนึ่ง - สูน - แปด
                         ส่วนหนังสือราชการนิยมอ่านเรียงตัว เช่น
            ที่ ศธ 0308/205
                อ่านว่า ที่ - สอ - ทอ - สูน - สาม - สูน - แปด ทับ สอง - สูน - ห้า
            2. ใช้ขีดคั่นระหว่างเลขบอกลำดับศักราช เช่น
                คำสั่งโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม ที่ 1/2543
            3. ใช้ขีดคั่นระหว่างตัวเลขแสดงวัน เดือน ปี เช่น 3/12/2543 (วันที่ 3 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2543)
            4. ใช้ขีดคั่นระหว่างคำ "และ" กับ "หรือ" เป็น "และ/หรือ"  หมายความว่า อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้
                         "....ใช้ผสมและ / หรือโรยบนผิวหน้าวัสดุที่ทำเครื่องหมายบนผิวทาง..."
            5. ใช้ขีดคั่นระหว่างคำ แทนคำว่า "หรือ" หมายความว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
                         ตรอก/ซอย อำเภอ/เขต

            6. ใช้ขีดคั่นระหว่างคำ มีความหมายว่า "ต่อ"  เช่น  กิโลเมตร/ชั่วโมง


วิดีโอ เรื่องเครื่องหมายวรรคตอน